การแยกหมวดหมู่ความรู้

مکمل کتاب : การแยกหมวดหมู่ความรู้

ผู้แต่ง:

URL แบบสั้น: https://iseek.online/?p=16339

แจน มุฮัมมัด จากการาจี เขียนมาว่า
ผมอยากจะได้รับคำตอบจากปัญหาสองสามข้อของผม ในขอบเขตของ อัล กุรอาน ผมเข้าใจว่า การตอบคำถามเหล่านี้จะส่องแสงไปบนทรรศนะทาง จิตวิญญาณซึ่งยังคงไม่ได้รับการสำรวจ และผู้คนที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ก็จะ ได้รับประโยชน์จากคำตอบของท่าน
ถ้าเราสามารถถ่ายทอดความคิดของเรา และสามารถได้รับความคิด ของผู้อื่นได้ อย่างที่กล่าวอ้างในโทรจิต ดังนั้น ทำไมมันจึงไม่ถูกใช้ในการสืบสวนอาชญากรรมและสืบหาอาชญากร เพื่อจับกุมผู้ร้ายโดยการอ่านใจพวกเขา
ปัญหาข้อที่สองคือว่า ถ้าโดยการกระทำมุรอกอบะอ์ เมื่อการมองเห็น ภายในถูกกระตุ้น ดังนั้น ทำไมเราจึงไม่สามารถหาได้ว่าทำไมหรือเมื่อใดที่ ปิรามิดแห่งอียิปต์ถูกสร้างขึ้น และหินที่หนักอย่างนั้นถูกนำขึ้นไปที่นั่นเพื่อก่อสร้างได้อย่างไร
คำตอบ ก่อนที่เราจะสาธยายเกี่ยวกับการตอบปัญหานี้ นับว่าเป็นการ เหมาะสมกว่า ที่จะพิจารณาว่าความรู้ที่มีอยู่เพื่อให้ศึกษามีกี่ประเภท ถ้าความ คิดและการศึกษาทั้งทางด้านศิลปะและวิทยาการในโลกนี้ได้รับการพิจารณา สามารถแบ่งความรู้ออกได้เป็น 3 ประเภทหลักด้วยกัน
วิชาการทางด้านกายภาพ วิชาการทางด้านจิตวิทยา วิชาการทางด้าน ปราจิตวิทยา
การกระทำและการปฏิบัติทั้งหมดที่ได้ประกอบขึ้น และได้รับการศึกษา ค้นคว้าในขอบข่ายที่จำกัด และสัมพันธ์กับสาระและโลกวัตถุเพียงด้านเดียวนั้น ถูกจัดให้เป็นวิชาการทางด้านกายภาพทั้งสิ้น หรือกล่าวได้ว่าวิชาการทั้งหมด ที่ยังคงจำกัดขอบเขตอยู่ในเปลือกของวัตถุ และมุ่งประเด็นไปเพื่อเรื่องวัตถุและ โลกทางวัตถุเพียงอย่างเดียว เป็นวิชาการทางด้านกายภาพ
จิตวิทยาคือความรู้ ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่มีผลในระดับชั้นย่อย หรืออยู่เบื้อง หลังของปรากฏการณ์ทางกายภาพ ความรู้นี้ประกอบด้วยการศึกษาทางด้าน ความคิด การจินตนาการ มโนคติและความรู้สึก เมื่อความคิดถูกถ่ายโอนไป อย่างราบรื่นสู่ขอบข่ายของปริมณฑลทางกายภาพ มนุษย์ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความคิดที่มีประโยชน์ ถ้ามีการขัดขวางหรือการแตกหักเสียหายในกระแส ของสายโซ่ความคิด ผู้นั้นก็จะเป็นคนไข้ทางจิตวิทยา และปริมณฑลทาง กายภาพได้ล้อมรอบความคิดของบุคคลเช่นนั้น
ปราจิตวิทยาคือชื่อของพื้นฐานทางความรู้ ซึ่งสามารถได้รับการเรียกขานอย่างถูกต้องที่สุดว่า แหล่งที่เป็นจริงของข้อมูล โดยทางเทคนิคแล้วมันคือ ตัวแทนซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในเบื้องหลังของความไร้สำนึก
ที่นี้สิ่งเหล่านี้สามารถกล่าวได้ว่า เนื้อแท้ทั้งหมดในความรู้ของมนุษย์ ประกอบด้วยวงแหวน 3 วงคือจิตสำนึก จิตไร้สำนึก และเหนือจิตไร้สำนึก เมื่อ เราบังเอิญมาพบกับการดำรงอยู่ของปรากฏการณ์ใดๆ เราต้องข้ามวงแหวน 3 วงนี้ไป นั้นคือประการแรกที่สุด เราได้รับข้อมูลเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นการจินตนาการได้สร้างลักษณะหน้าตาและในที่สุดสิ่งนั้นก็ปรากฏต่อ สายตาของเรา เช่นเดียวกับเรื่องที่ปรากฏ การอธิบายสิ่งนี้เราสามารถกล่าว ได้ว่า เมื่อคำนึงถึงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของจักรวาลต่างๆ เราสรุปว่าข้อมูล หรือ ความคิดคือปัจจัยพื้นๆ ในทุกการดำรงอยู่ ตัวอย่างเช่น มนุษย์ทุกคน สัตว์ พืชและสิ่งที่ไม่มีชีวิตพิจารณาว่าน้ำคือน้ำ และปฏิบัติต่อมันแบบน้ำ ไม่มีใครถือว่ามันเป็นสิ่งอื่นเลย ในทำนองเดียวกันไฟก็คือไฟ สำหรับสิ่งถูกสร้างทุกชนิด และเหมือนกับที่มนุษย์พยายามหลีกเลี่ยงจากการถูกไฟเผา สิ่งถูกสร้าง อื่นๆ ทุกชนิด อย่างเช่น แพะ นก สัตว์ป่าและแมลงก็พยายามหลีกเลี่ยงจาก ไฟเช่นเดียวกัน ถ้าคนหนึ่งชอบของหวานคนอื่นๆ อาจไม่เห็นด้วยกับเขา และ อาจชอบของเค็มมากกว่า แต่ทั้งคู่ก็จะเรียกเกลือว่าเกลือ และเรียกน้ำตาลว่า น้ำตาล ไม่มีใครสับสนระหว่างเกลือกับน้ำตาล
ที่นี้ นี่ก็คือความเป็นจริงเช่นกันว่า ในด้านหนึ่งมนุษย์มีลักษณะภายนอก ทางความคิดและการจินตนาการ และในอีกด้านหนึ่ง เขามีสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับการให้เหตุผลต่อความหมายของการเลือกที่จะเข้าใจความคิด สิทธิ ในการให้เหตุผลต่อความหมายของการเข้าใจความคิดนี้ ก็คือการแสดงออก ที่ส่งคืนให้บางคนต้องรับผิดชอบในการรับรางวัลหรือถูกลงโทษ ตัวอย่างเช่น การแสดงออกของไฟคือเผาไหม้ เมื่อถูกใช้เพื่อความเป็นอยู่ของผู้คน เช่น การปรุงอาหาร เป็นต้น ถือว่าไฟเป็นการแสดงออกที่เป็นข้อดี และถ้าไฟนี้ ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลาย เช่น การเผาบ้านผู้คน ดังนั้น ไฟจึงเป็น การแลดงออกของความชั่วร้ายและการลงโทษ
ตามทัศนะของนักจิตวิญญาณนิยม การส่งความคิดระหว่างสิ่งถูกสร้าง คือชีวิต เรารู้จักและรับรู้การดำรงอยู่ของสิ่งถูกสร้างอื่น เพราะความคิดที่ สัมพันธ์กับผู้อื่นถูกส่งมายังเราเท่านั้น ถ้าความคิดของทอมไม่ปรากฏบนฉาก จิตใจของคิด คิดจะไม่มีวันระบุตัวและรู้จักทอมได้เลย ในทำนองเดียวกัน คลื่นที่แสดงออกในต้นไม้และเป็นต้นเหตุของการดำรงอยู่ของต้นไม้ ไม่ส่งมายัง มนุษย์ มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้จักต้นไม้ หรือรับรู้การดำรงอยู่ของต้นไม้นั้นได้เลย
การรู้จักหรือการรับรู้การดำรงอยู่ของผู้หนึ่งโดยผู้อื่น อาศัยพื้นฐานจาก การแสดงออกของการมองเห็น การมองเห็นและการเข้าใจก็มี 2 ประเภทเช่น กัน ประเภทที่หนึ่งคือโดยตรง อีกประเภทหนึ่งคือโดยอ้อม การมองเห็นโดย อ้อมคือเมื่อเราเลือกสิ่งที่ดำรงอยู่ 2 สิ่ง ผู้ถูกกระทำและผู้กระทำ ผู้สังเกตกับ สิ่งที่ถูกสังเกต เมื่อมนุษย์มองไปยังแพะ เขาเข้าใจว่าเขาเห็นแพะ การมองเห็น นี่คือการมองเห็นโดยอ้อม การมองเห็นประเภทอื่นคือแพะมองมายังเรา และ เราสังเกตการเห็นของแพะ หรืออาจกล่าวว่า คลื่นที่เป็นต้นเหตุของการดำรง อยู่ของชีวิตแพะ ถูกสะท้อนบนฉากของจิตใจเราในรูปแบบของข้อมูล จิตใจ ส่งผ่านคลื่นเหล่านี้เข้าไปในลักษณะหน้าตาที่แน่นอน และเมื่อลักษณะหน้าตา นี้ ได้รับความเข้าใจโดยสำนึก เราจึงเริ่มมองเห็นแพะ เราไม่ได้มองเห็นแพะ แต่เรามองเห็นภาพของแพะที่ก่อรูปบนฉากของจิตใจของเราโดยคลื่นที่ถูกส่งมา จากแพะ ที่นี้นี่คือการมองเห็นโดยตรง
ตามทรรศนะศาสตร์ทางด้านจิตวิญญาณ การมองเห็นโดยตรงเท่านั้น ที่เป็นจริง และการมองเห็นโดยอ้อมคือมายา คำดำรัสต่อไปนี้ของพระเจ้าในอัล กุรอาน ที่ต้องการการคิดคำนึงอย่างพินิจพิเคราะห์ ที่พระเจ้าบอกกับท่าน ศาสดาว่า
“และเจ้ามองเห็นพวกเขามองมายังเจ้า แต่พวกเขามองไม่เห็นอะไร”
การพิจารณาโองการที่ถูกประทานลงมานี้ก็คือ พระเจ้าทรงบอกว่า ถึงแม้ประชาชนจะมองไปยังท่านศาสดา แต่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นคลื่น ของพระเจ้าและมีความน่าเคารพที่ประกอบอยู่ในบุคคลที่น่าเคารพ อย่างเช่น ท่านศาสดา เพราะฉะนั้น การมองเห็นของพวกเขาจึงถูกปฏิเสธจากพระเจ้า ทั้งหมด ความเขลาของพวกเขาเกี่ยวกับคลื่นของพระเจ้าของท่านศาสดา หมายถึงการมองไม่เห็นสิ่งใดเลย หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ พระเจ้าบอกเรา ว่าการมองเห็นโดยอ้อม ไม่เป็นที่น่าสรรเสริญยกย่อง และเพราะฉะนั้น เรา ควรจะเรียนรู้ที่จะมองเห็นโดยตรง
ในโทรจิตก็เช่นกัน มีความต้องการที่บุคคลผู้หนึ่ง ควรจะพยายามและ ต่อสู้เพื่อให้ตัวเขาเองคุ้นเคยกับแบบแผนของการมองเห็นโดยตรงด้วย เมื่อ ผู้หนึ่งเรียนรู้ที่จะมองเห็นโดยตรง นั่นคือเขาเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านม่านจิต ใจของเขา เขาจะเริ่มมองเห็นสิ่งที่ไม่แม้แต่จะปรากฏสายตาของเขา เพราะหลัง จากเรียนรู้ที่จะส่งคลื่นเข้าไปในรูปพรรณสัณฐานแล้ว ผู้หนึ่งก็สามารถเข้าใจ คลื่นของสิ่งใดก็ตามที่เขาต้องการ นี่คือหลักการขั้นพื้นฐานของศาสตร์แห่ง พระเจ้าและอภิปรัชญา ว่าคลื่นซึ่งเป็นต้นเหตุของการผลิตความคิดควรจะก่อ ขึ้นในใจ
นับเป็นความลับและเป็นสิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดจริงๆ ที่ปัจเจกทั้งหมด ของจักรวาล มีความผูกพันและความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้นซึ่งกันและกัน เนื่องจาก ความคิดและข้อมูลของพวกเขาบรรจุอยู่ในนั้น แต่การให้เหตุผลต่อความหมาย ของข้อมูล และความ เข้าใจความคิดนั้น แตกต่างสำหรับทุกคน สิงโตและแพะ รู้สึกถึงความหิว แต่ฝ่ายหนึ่งหมายถึงการกินเนื้อสัตว์ และอีกฝ่ายหนึ่งหมาย ถึงการกินหญ้า
การสะกดจิตกับโทรจิตดูเหมือนจะเป็นศาสตร์ที่แตกต่างกัน 2 ศาสตร์ แต่หลักการขั้นพื้นฐานของทั้งสองนั้นเหมือนกัน นั่นคือ การควบคุมเหนือความ คิด การควบคุมเหนือความคิดนี้ทำให้เราสามารถส่งหรือรับความคิดได้
ที่นี้กลับมาสู่ปัญหาที่สาม ทำไมโทรจิตจึงไม่ถูกใช้ไปเพื่อจับกุมและสืบสวนอาชญากรรม ในการตอบมีการกล่าวว่า ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องโทรจิต โดยพื้นฐานและพวกเขามีจิตใจที่เป็นอิสระ และพวกเขาไม่มีความสนใจใน การจับหัวขโมยหรือสืบความลับ หรือปฏิบัติการแบบตำรวจ พวกเขาคิดว่าไม่ สมควรที่จะแทรกแซงกิจการของผู้อื่น และสนใจเรื่องการจัดการกับจิตใจของ ตนเองเท่านั้น
ความจริงนี้ ยังประสพโดยผู้ที่บังเอิญพบนักจิตวิญญาณนิยม ซึ่งจะพูดสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขาเป็นนัย ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม
ปีรามิดถูกสร้างขึ้นทำไมและเมื่อใด ด้วยหินตัดเหลี่ยมกว่า 3 ล้านก้อน ซึ่งแต่ละก้อนหนักกว่า 70 ตันขึ้นไป ติดตั้งสูงกว่าพื้น 30 ถึง 40 ฟุต ระยะ ทางอย่างน้อยที่สุดของปีรามิดสองแห่งคือ 15 ไมล์ และที่ไกลที่สุดคือ 500 ไมล์ ความหมายที่ชัดเจนคือหินที่นำมาสร้างปีรามิดนี้ ถูกนำมาเป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 500 ไมล์
พี่น้องที่รัก สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญในการทำมุรอกอบะอ์ ไม่เป็นการยาก แต่อย่างใดเลยที่จะค้นหาเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง แต่พวกเขายังมีความลับที่ สูงส่งและประเสริฐกว่าที่จะสำรวจตรวจสอบ และยังคงยุ่งอยู่กับการค้นพบ ความลับนั้น และความลับแต่ละอย่างที่ค้นพบก็บังคับให้พวกเขาก้าวต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ปราชญ์ผู้หนึ่งนามว่ารัมปา มีความเชี่ยวชาญในการส่งความคิด เมื่อ มีนักโบราณคดีถาม ท่านกล่าวว่า มนุษย์เมื่อสองหมื่นปีที่แล้วมีความก้าวหน้า ในวิทยาศาสตร์มากกว่าสมัยนี้ พวกเขาประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์ สิ่งประดิษฐ์ ซึ่งมีผลทำให้แรงดึงดูดของโลกต่อหินหายไป ทำให้ก้อนหินน้ำาหนัก 50 – 100 ตันเบาเหมือนกับขนนก ในทำนองเดียวกันตามทัศนะของนายเอดการ์ คาร์ซีย์ (Edgar Cazey) ซึ่งเป็นบุคคลในวงการวิทยาศาสตร์แล้ว หินเหล่านี้ ถูกนำไปเข้าที่ ในขณะที่ลอยอยู่ในอากาศ
ทั้งหมดคือ คำกล่าวของนักวิชาการเหล่านี้เกี่ยวกับปีรามิด ซึ่งตรงกัน อย่างยิ่งกับกฎของการส่งคลื่น ที่เรากำลังศึกษาในเรื่องโทรจิต

แสดงทั้งหมด ↓

โปรดให้ความคิดเห็นของคุณ

    Your Name (required)

    Your Email (required)

    Subject (required)

    Category

    Your Message (required)